หลังจากมีข่าวออกมาเป็นระยะๆ ล่าสุด Triumph ค่ายรถมอเอตร์ไซค์ สัญชาติอังกฤษ ได้ทำการเปิดตัว SpeedTriple ปี2018 ซึ่งเป็น Super-Naked ตัวท็อป รุ่นใหม่ล่าสุด 

 

 

SpeedTriple รุ่นใหม่นี้ยังคงใช้เครื่องยนต์ 3 ลูกสูบ 1050 ซีซี แรงม้าสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 117 นิวตันเมตร ซึ่งมันมีแรงม้ามากกว่ารุ่นเก่าถึง 10 ตัวเลยทีเดียว

 

 

โดยจะมีด้วยกันสองรุ่นให้เลือก คือ SpeedTriple S และ SpeedTriple RS ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์บล็อก3สูบเหมือนกัน พร้อมเบรคจาก Bremboและ ยาง Pirelli Diablo Supercorsa แต่สิ่งที่แตกต่างกัน คือ ในรุ่น “S”  โช๊คหน้า เป็นแบบ Upside-Down ขนาด 43 มิลลิเมตร จาก Showa โชีคหลัง Monoshock ของ Showa ที่ทำงานร่วมกับสวิงอาร์มแขนเดี่ยว Singles Side Swingarm

 

ในรุ่น “RS” นั้นจะเปลี่ยนโช๊คหน้าหน้าแบบ Upside-Down ของ Ohlins NX30 และโช๊คหลัง Ohlins TTX36 พร้อมท่อไอเสียคาร์บอนน้ำหนักเบา จาก ARROW และด้วยการปรับเปลี่ยนหลายอย่างทำให้น้ำหนักตัวของสองรุ่นนี้แตกต่างกัน โดยน้ำหนักตัวในรุ่น “S” นั้นจะอยู่ที่ 192 กิโลกรัม และรุ่น “RS” จะมีน้ำหนักที่เบากว่าโดยน้ำหนักอยู่ที่เพียง 189 กิโลกรัม

 

หัวหน้าวิศวกร Stuart Wood ของ Triumph กล่าวว่า “เราได้สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ให้กับเครื่องยนต์ Speed ​​Triple ใหม่ โดยทำให้เครื่องยนต์มีรอบจัดจ้านมากขึ้น โดยเครื่องยนต์จะมี redline เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อน ถึง 1,000 รอบ ทำให้มันตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว “

 

 

ไม่เพียงแต่เครื่องยนต์ที่ได้รับการปรับเปลี่ยน ระบบ IMU หรือ inertial measurement unit ที่จะทำงานร่วมกับระบบ ABS Cornering และระบบ Traction Control ก็ได้รับการปรุบปรุงใหม่ ซึ่งสองระบบที่กล่าวมานี้สามารถเลือกปิดหรือเปิดการทำงานได้ผ่าน หน้าจอแสดงผลของมันก็ถูกปรับเปลี่ยนไปด้วย โดยทางค่ายได้เลือกใช้งานหน้าจอแสดงผลแบบ TFT ดิจิตอลเต็มรูปแบบที่ให้รายละเอียดที่ครบถ้วน

 

 

เพิ่มเติมในส่วนของระบบ Cruise Control ที่จะทำให้การขับขี่ในเส้นทางไกลนั้นสะดวกสบายมากขึ้น รวมไปถึง illuminated Switchgear ที่ประกอบแฮนด์ด้านซ้ายที่จะช่วยในการปรับค่าต่างๆ ของตัวรถทำได้ง่าย อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจของเจ้า Speed Triple “RS” ก็คือKeyless Start หรือ ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบไม่ใช้กุญแจโดยจะเป็นปุ่มกดสตาร์ทเครื่องยนต์ รวมไปถึงระบบล็อกคอที่ง่ายเพียงปลดล็อกจากสวิทซ์รีโมทของตัวรถ และยังสามารถปรับแต่งค่าได้อย่างละเอียดเพิ่มความปลอดภัยได้ดีขึ้น

นอกเหนือจากนี้ ทางค่ายได้เพิ่มระบบคันเร่งไฟฟ้า Ride-by-Wire ที่มาพร้อมโหมดในการขับขี่ 4 โหมด Road, Rain, Sport และโหมดRider ที่สามารถปรับแต่งค่าได้เอง และในรุ่น “RS” ได้เพิ่มโหมดการขับขี่ใหม่ Track Mode เพิ่มเติมจากของเดิม